ดูเหมือนประโยคที่ว่า “เตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” จะใช้ได้เป็นอย่างดีกับทุกสถานการณ์ ซึ่งรวมถึงวันสำคัญที่สุดในชีวิตของหนุ่มสาวคู่รักทั้งหลายอย่างวันแต่งงาน เพราะไหน ๆ ก็เป็นวันที่พิเศษที่สุดในชีวิตแล้ว บ่าวสาวทุกคนก็คงอยากให้งานแต่งของตัวเองออกมาดีที่สุด ดังนั้นหากคู่ของคุณหมายมั่นปั้นมือวางแผนจะแต่งงานกันแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่างานแต่งต้องเตรียมอะไรบ้าง? จะเริ่มจากตรงไหนดี? Vanus Couture ได้รวบรวมเช็คลิสต์สิ่งที่บ่าวสาวควรรู้ไว้ ก่อนแต่งงานมาฝากไว้ให้ทุกคนกันแล้ว
โดยเราจะยกตัวอย่างคู่บ่าวสาวที่มีเวลาเตรียมตัวก่อนงานแต่งเป็นเวลา 1 ปี เพื่อให้เห็นถึงลำดับและการจัดเรียงที่เหมาะสม ส่วนถ้าคู่ไหนมีเวลาเตรียมตัวที่แตกต่างออกไป ก็สามารถประยุกต์จากลำดับนี้ได้เช่นเดียวกัน
- การหา “ฤกษ์แต่งงาน”
- การ “จัดหาสถานที่”
- คำนวณจำนวนแขก
- วางแผนงบประมาณ
- จองคิวช่างแต่งหน้า ทำผม
- คิวช่างภาพ
- เลือกธีมงานแต่ง
- การแสดงดนตรีหรือพิธีกร
- มองหาประธานในพิธีงานแต่ง
- ถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง
- เลือกการ์ดแต่งงานและของชำร่วย
- จัดการเรื่องอาหารและเครื่องดื่มเลี้ยงแขก
ก่อนถึงวันแต่งงานต้องเตรียมอะไรบ้าง?
- 1 ปีล่วงหน้า – ฤกษ์แต่งงาน จัดหาสถานที่แต่งงาน คำนวณจำนวนแขก และ วางแผนงบประมาณ
หลังจากที่บ่าวสาวตกลงปลงใจกันเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะจัดงานแต่ง สิ่งสำคัญอันดับแรก ๆ ที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องรู้ให้ได้เสียก่อนจะเริ่มวางแผนจัดงานก็คือ การหา “ฤกษ์แต่งงาน” เพื่อที่จะกำหนดวันและเวลาฤกษ์งามยามดีที่เป็นมงคลและมีเวลาจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย อย่าลืมคำนึงถึงความสะดวกของทุกฝ่าย ทั้งทีมผู้จัดงานและแขกคนสำคัญที่เชิญเข้าร่วมงาน ไม่ให้ทุกอย่างเร่งรีบจนเกินไป
หลังจากนั้นค่อยถึงคราวของการ “จัดหาสถานที่” เพราะสถานที่จัดงานแต่ละที่โดยเฉพาะสถานที่จัดงานยอดฮิตๆ ก็มักถูกบ่าวสาวคู่อื่น ๆ จับจองกันไว้แล้ว จึงควรรีบจับจองสถานที่ที่เล็งเอาไว้แต่เนิ่น ๆ เมื่อรู้วัน เวลา และสถานที่แต่งงานแล้ว ให้เริ่ม “คำนวณจำนวนแขก” และ “วางแผนงบประมาณ” สิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในงานกันไว้ได้เลย เพื่อจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ให้พร้อมในลำดับถัดไป
ซึ่งในการวางแผนงบประมาณ ก็ควรจะต้องคำนึงถึง “รูปแบบของพิธีการ” และ “รูปแบบของงานเลี้ยง” ด้วย เนื่องจากพิธีการแบบต่าง ๆ มีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน เช่น พิธีแต่งแบบไทยพุทธที่ต้องมีการเชิญคณะพระสงฆ์ ในขณะที่พิธีแต่งแบบจีนจะต้องมีการเตรียมชุดอาหารและน้ำชาเพื่อไหว้เจ้า เป็นต้น เช่นเดียวกันกับรูปแบบงานเลี้ยง งานสไตล์ค็อกเทลปาร์ตี้ย่อมมีความต้องการด้านงบประมาณและสถานที่ต่างกับงานแบบโต๊ะจีน ฉะนั้นการกำหนดรูปแบบของงานเลี้ยงและพิธิแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยให้คุณจัดการงบประมาณได้ง่ายขึ้น
เตรียมแต่งงานให้พร้อม คำนวณงบประมาณไม่ให้บานปลาย
แล้วจะเริ่มตั้งงบยังไงดีนะ? การวางแผนงบประมาณ ค่าใช้จ่ายงานแต่งงาน บ่าวสาวควรรู้ว่างบประมาณของคุณมีเท่าไร เพราะเป็นตัวกำหนดว่า เราควรจะจัดงานเล็ก งานใหญ่ หรือรูปแบบงานประมาณไหน? โดยวิธีการคำนวณงบประมาณในการจัดขั้นตอนเตรียมงานแต่ง อาจลองเริ่มจากการตั้งคำถามง่าย ๆ ดังนี้
- แขกมีกี่คน? ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มตั้งงบจากตรงไหนดี ให้เริ่มที่จำนวนแขกเสียก่อนเลยว่าจำนวนของแขกที่จะเชิญมานั้นมีกี่คน ทั้งแขกฝั่งเจ้าบ่าวและฝั่งเจ้าสาวที่จะเชิญมานั้นมีใครบ้าง? และอาจลองคาดเดาก่อนไว้ว่า แขกแต่ละคนน่าจะให้ซองช่วยเหลือขั้นต่ำสุดประมาณเท่าไหร่ เช่น หากจำนวนแขกที่เชิญมามีประมาณ 150 คน สถานที่จัดคิดหัวละ 1,000 บาท ฉะนั้นเราก็ควรมีงบประมาณที่กันไว้อย่างน้อย ๆ 150 x 1,000 = 150,000 บาท
- มีรายได้ต่อเดือนกี่บาท? อีกวิธีที่ช่วยบ่าวสาวได้คือ การคำนวณงบประมาณจากรายได้หรือตามกำลังทรัพย์ที่คู่บ่าวสาวมี ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดีมาก ๆ และเหมาะในการกำหนดทิศทาง รวมถึงขนาดงานตามกำลังของตัวเองอย่างเหมาะสม โดยอาจลองคิดจากรายได้ต่อเดือนของบ่าวสาวในช่วงระยะตั้งแต่ 3-4 เดือน เช่น หากบ่าวสาวมีเงินรายได้ต่อเดือนในช่วง 3 เดือนรวมกันเป็น 200,000 บาท ฉะนั้นเราควรมีงบอย่างน้อย 200,000 บาทนั่นเอง เพราะหากจัดงบประมาณสูงเกินกว่าที่กำลังทรัพย์ตัวเองมี จนค่าใช้จ่ายงานแต่งงานบานปลาย ก็คงจะไม่ดีแน่
- มีเงินช่วยเหลือจากครอบครัวไหม? นอกจากงบส่วนตัวที่บ่าวสาวมีแล้ว หากได้รับเงินช่วยเหลือจากครอบครัวเพิ่มขึ้นมาอีก ก็สามารถนำเงินในส่วนนี้มารวมกับเงินเก็บของตัวเองได้ แล้วค่อยคำนวณงบประมาณงานแต่ง โดยปรึกษากับทางผู้ใหญ่ เพื่อตกลงเรื่องงบประมาณกันก็ทำได้เช่นเดียวกัน
- 9 เดือนล่วงหน้า – จองคิวช่างแต่งหน้า ทำผมเจ้าสาว คิวช่างภาพสำหรับถ่ายรูปพรีเว็ดดิ้งและบรรยากาศภายในงาน เลือกธีมงานแต่ง จองคิวการแสดงดนตรีหรือพิธีกร มองหาประธานในพิธีงานแต่ง
เมื่อวัน เวลา และสถานที่สำหรับวันพิเศษพร้อมแล้ว! ลุคหล่อสวยของบ่าวสาว และทีมงานที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งก็ต้องพร้อมเช่นกัน! ในช่วงนี้เป็นเวลาเหมาะอย่างยิ่งที่จะมองหา “จองคิวช่างแต่งหน้าเจ้าสาว ทำผม” มือโปรที่คุณถูกใจกันไว้ได้เลย รวมทั้ง “คิวช่างภาพ” ถ่ายรูปพรีเวดดิ้งและบรรยากาศภายในงานแต่ง เพราะคิวทีมงานเหล่านี้มักเต็มอย่างรวดเร็ว หากไม่รีบจองไว้เสียก่อนก็อาจจะไม่ทัน
ในช่วงนี้เราขอแนะนำให้บ่าวสาวเริ่มวางแผนจัดงานแต่งงาน นั่งคุยกันดูเลยว่า อยากให้หน้าตาของวันพิเศษออกมาเป็นแบบไหน? และ “เลือกธีมงานแต่ง” กันไว้เลยว่า จะจัดหรือเตรียมงานแบบไหนยังไง เพื่อที่คุณจะได้รู้ทิศทางงานแต่งของคุณเอง และมีเวลาจัดหาเตรียมสิ่งต่าง ๆ อย่างเพียงพอ
หากบ่าวสาวคนไหนที่อยากให้มี “การแสดงดนตรีหรือพิธีกร” มาช่วยเติมบรรยากาศสนุกสนานภายในงาน หรือ “มองหาประธานในพิธีงานแต่ง” ก็เป็นช่วงเวลาเหมาะที่จะทาบทาม เพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ และจัดการธุระต่าง ๆ เพื่อให้สะดวกมาร่วมพิธีแต่งของคุณนั่นเอง
- 6 เดือนล่วงหน้า – เริ่มถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง เลือกการ์ดแต่งงานและของชำร่วย เลือกชุดแต่งงาน
บ่าวสาวคนไหนที่ต้องการให้มีภาพของตัวเองปรากฎอยู่ในงาน ช่วง 6 เดือนก่อนแต่งงานนี่แหละเป็นช่วงที่เหมาะที่สุดในการ “ถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง” เพราะจะทำให้คุณมีเวลาเหลือพอที่จะนำภาพถ่ายเหล่านั้นไปใช้สำหรับการทำพรีเซ็นเทชั่นที่ถูกใจ และใส่ภาพไปในของตกแต่งหรือการ์ดแต่งงาน ซึ่งบ่าวสาวบางคนอาจจะมีแพลนไปถ่ายรูปพรีเวดดิ้งถึงต่างประเทศกันเลยทีเดียว ดังนั้นก็อย่าลืมจองตั๋วเครื่องบิน จองช่างภาพ ช่างหน้าทำผมในส่วนนี้กันไว้ให้พร้อม
ต่อมาคือ “เลือกการ์ดแต่งงานและของชำร่วย” ไม่ว่าจะเป็นการ์ดแต่งงานที่เรียบง่าย มีปัํมนูน ออกแบบลวดลายสวยงามเฉพาะตัว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบประมาณของบ่าวสาวแต่ละคู่ สามารถเลือกรูปแบบ สี สไตล์ตามใจที่ตัวเองได้ชอบได้เลย
อีกสิ่งสำคัญที่ขาดไปไม่ได้คือ “เลือกชุดแต่งงาน” ปัจจุบันก็มีร้านเวดดิ้งให้เลือกใช้บริการมากมาย จะสั่งตัดชุดใหม่ เช่าชุด หรือเลือกเป็นแพ็กเกจแต่งงานก็ได้ อย่างที่ห้องเสื้อวนัช กูตูร์ เราก็มีทีมงาน Specialist คอยพูดคุยและให้คำแนะนำ รวมถึงออกแบบแพคเกจเช่าชุดแต่งงานที่ตอบโจทย์ความต้องการแท้จริงของบ่าวสาวให้ได้มากที่สุด หากบ่าวสาวคนไหนที่ยังไม่รู้จะซื้อชุดเจ้าบ่าวที่ไหน ก็สามารถจูงมือกันไปเลือกไปลองชุดแต่งงานที่ร้านได้เลย
- 4 เดือนล่วงหน้า – เริ่มดูแลร่างกาย หาเค้กแต่งงาน จัดการเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม เตรียมรายชื่อแขก
ใกล้ถึงวันแต่งงานขึ้นมาทุกที แน่นอนว่าวันสำคัญแบบนี้ นอกจากงานที่ต้องออกมาดีที่สุด บ่าวสาวของเราก็ต้องสวยหล่อเป็นพิเศษ ในช่วงนี้ขอแนะนำให้คู่บ่าวสาว “เริ่มดูแลร่างกาย” กันตั้งแต่ตอนนี้พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าหักโหมไปกับการทำงานหรือธุรกิจมากจนเกินไป
อย่าลืม “หาเค้กแต่งงาน” และ “จัดการเรื่องอาหารและเครื่องดื่มเลี้ยงแขก” ว่าจะมีเมนูอะไรในงานแต่งงานบ้าง? จะเลี้ยงอาหารแขกด้วยรูปแบบไหน? เช่น โต๊ะจีน ค็อกเทล บุฟเฟต์ โดยสิ่งสำคัญที่ควรรีเช็คให้แน่ใจเลยก็คือ ให้ตรวจสอบก่อนว่าแขกในงานมีใครแพ้อาหารชนิดใดหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้
ระหว่างที่ดูแลร่างกายให้พร้อม และเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว เตรียมงานต่าง ๆ ไว้ ขั้นตอนต่อไปก็คือ “เตรียมรายชื่อแขก” ลองลิสต์รายชื่อเชิญแขกที่จะให้มาร่วมงาน โดยให้รวบรวมรายชื่อแขกจากทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาวเอาไว้ก่อน หลังจากเมื่อรวบรวมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยทยอยสรุปรายชื่อแขกที่มาร่วมงาน เพื่อสั่งทำการ์ดเชิญได้ในลำดับถัดไป
- 1 เดือนล่วงหน้า – แจกการ์ดเชิญ ร่างรายละเอียดของงานคร่าวๆ ลำดับพิธีการ สรุปความเรียบร้อยของงาน
ถือเป็นช่วงเวลาที่ควร “แจกการ์ดเชิญ” แขกให้ครบ เพื่อให้แขกมีเวลาเตรียมตัว เคลียร์ธุระต่าง ๆ หากเป็นแขกคนสำคัญ เช่น ญาติผู้ใหญ่ แนะนำให้มอบการ์ดด้วยตัวเองจะดูเหมาะสมกว่า หากคุณไม่ได้ใช้บริการเวดดิ้งแพลนเนอร์ หากเป็นเพื่อนก็อาจจะนัดเจอรวมกัน แล้วแจกการ์ดแต่งงานให้เพื่อนๆ เลยทีเดียว แต่หากคุณเป็นบ่าวสาวที่ไม่มีเวลา ก็อาจจะใช้วิธีส่งการ์ดเชิญผ่านทางไปรษณีย์หรือทางออนไลน์ก็ได้เหมือนกัน
และในช่วงนี้ควรเริ่มเขียน “ร่างรายละเอียดของงานคร่าวๆ ลำดับพิธีการ” ไว้ให้เรียบร้อย เผื่อเวลาเตรียมการ ซักซ้อมกันไว้ได้เลย พร้อมทั้ง “สรุปความเรียบร้อยของงาน” ก่อนจะหมดเวลา 1 เดือนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ การตกแต่ง เสื้อผ้า หน้า ผม และอื่น ๆ เพื่อให้ภาพรวมของงานทั้งหมดว่า ยังขาดหรือต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ก็จะยังพอมีเวลาเหลือที่จะจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที
- 1 สัปดาห์ล่วงหน้า – ตรวจเช็คสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อยอีกครั้ง อย่าเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
นับเป็นช่วงเวลาที่บ่าวสาวรู้สึกตื่นเต้นกันอย่างสุด ๆ ดังนั้นอย่าลืม “ตรวจเช็คสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อยอีกครั้ง” ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม สรุปลำดับพิธีการและสคริปต์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีเวลาเตรียมตัวและซักซ้อม ที่สำคัญคือ “อย่าเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ” เพื่อคุณเองจะได้เดินเข้าพิธีในวันวิวาห์ได้อย่างมีความพร้อมและมั่นใจ!
ในระยะเวลา 1 ปี ฟังดูแล้วเหมือนจะนาน แต่อย่างที่เราบอกบ่าวสาวทุกท่านไปข้างต้นว่า “เตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง!” ดังนั้นหากบ่าวสาวยิ่งมีเวลาเหลือมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเตรียมตัวสำหรับจัดงานแต่งให้พร้อมได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ซึ่ง Vanus Couture ก็หวังว่าเช็คลิสต์วางแผนก่อนแต่งงานเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ และมีส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างงานแต่งของคู่รักบ่าวสาวให้ออกมาดีที่สุด